ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

จะได้

๒๒ ก.พ. ๒๕๖๘

จะได้

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : เรื่อง “การภาวนา”

กราบนมัสการหลวงพ่อ หนูนั่งสมาธิอยู่ เริ่มแรกก็ได้ยินเสียงต่างๆ รอบๆ ตัว ก็เห็นว่า ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง ก็นึกขึ้นได้ว่า สิ่งต่างๆ รอบตัว ไม่มีสิ่งใดที่จะบังคับได้เลย สิ่งที่เราจะบังคับได้ก็คือใจเรานี่เอง

และก็พยายามพุทโธต่อเนื่องเรื่อยๆ สลับกับพิจารณากายบ้าง เห็นใจและมีความกังวล และเห็นความคิดฟุ้งซ่านกังวลต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ก็พิจารณาว่า เราก็ควบคุมไม่ได้ กายเรามีตรงไหนที่คุมได้ พอป่วยโรคนี้หายไป เดี๋ยวก็มีโรคอื่นมาแทนไม่จบสิ้น

พิจารณาวนไปเรื่อยๆ ก็เห็นว่าใจเบาขึ้น เห็นว่าความคิดกังวลในเรื่องร่างกายหายไป เบาขึ้น สบายขึ้น รู้ถึงจิตที่ชัด และกายที่อยู่เป็นอีกส่วนหนึ่งชัดเจน ก็พิจารณากายสลับคำบริกรรมพุทโธบ้าง

สักพักหนูเห็นโครงกระดูกที่ถูกเผาแล้วเป็นซี่โครงคน หนูรู้สึกได้ว่ามันคือตัวเราเอง (จังหวะเดียวกันนั้นหนูก็สะดุ้งนิดหนึ่ง เพราะตั้งนาฬิกาเอาไว้ก่อนนั่งสมาธิ) และรู้สึกได้ว่าภาพนั้นหายไป แต่ก็พยายามตั้งจิตกลับมาในสมาธิและพิจารณาถึงโครงกระดูกนั้น ก็คิดว่า เราจะไปยึดกายเราและกังวลเรื่องโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เยอะทำไม สักวันหนึ่งเราก็ต้องตาย มีสภาพแบบเดิมซ้ำๆ แล้วสักพักหนูก็ออกจากสมาธิค่ะ

หนูภาวนาแล้วไม่เคยเห็นซากโครงกระดูกหรือกายแบบนี้มาก่อน ที่ผ่านมาลองพยายามนึกขึ้นมาเวลาจิตสงบ แต่ก็รู้ว่าเป็นการนึกเอาเอง แต่รอบนี้รู้สึกต่างจากที่เคยผ่านมามากค่ะ รู้สึกเสียดายและคิดว่าไม่น่าตั้งนาฬิกาไว้เลย

คำถาม

๑. ที่หนูทำคือเรียกว่าอะไร และควรทำอย่างไรต่อคะ

๒. ที่ผ่านมาพอจิตสงบแล้วหนูไม่ถนัดในการกำหนดภาพกาย พอทำแล้วรู้สึกว่านึกคิดเอาเอง แต่จะชอบดูที่ว่าอะไรกำลังปรากฏอยู่ แล้วจับสิ่งนั้นมาพิจารณามากกว่า หนูทำถูกไหมคะ รบกวนหลวงพ่อช่วยชี้แนะด้วยเจ้าค่ะ

ตอบ : นี่พูดถึงการภาวนาๆ นะ เราเริ่มต้นจากการภาวนา ทุกคนก็หวังมรรคหวังผล แต่การหวังมรรคหวังผลมันอยู่ที่อำนาจวาสนาของคน แล้วเราเชื่อฟังครูบาอาจารย์องค์ใด

ถ้าเรามีครูบาอาจารย์ที่ดีงาม ถ้าครูบาอาจารย์ที่ดีงามนะ ท่านก็ให้เราฝึกหัดปฏิบัติ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราทุกองค์อยากให้ชาวพุทธได้ฝึกหัดปฏิบัติ แล้วถ้าฝึกหัดปฏิบัติได้มากได้น้อยขนาดไหนมันอยู่ที่อำนาจวาสนาของเขา

แล้วถ้าครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมาแล้ว อย่างหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตาพระมหาบัว ท่านเป็นพระอรหันต์ คำว่า เป็นท่านเป็นพระอรหันต์” ท่านต้องผ่านจากความหลอกลวง ผ่านจากกิเลสที่มันปลิ้นมันปล้อนกว่าจะจิตสงบเข้ามาได้ มันจะผ่านบุคคลคู่ที่ ๑ คู่ที่ ๒ คู่ที่ ๓ คู่ที่ ๔ มันลึกลับมหัศจรรย์ แล้วต่อสู้มาด้วยชีวิตทั้งนั้น

ฉะนั้น สิ่งที่จะผ่านมาได้ขนาดนี้ เราอยู่กับหลวงตามานะ หลวงตาถ้าเวลาโยมมาถามปัญหา แล้วถ้าใครพูดปัญหาที่มีเหตุมีผล ท่านจะบอกว่า “โอ้โฮ! ภาวนาอย่างนี้ก็มีด้วยหรือ” ท่านไม่เชื่อนะว่าคนภาวนาจะได้มรรคได้ผล หรือภาวนาแล้วจะได้เหตุได้ผล ท่านไม่เชื่อหรอก

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น คำว่า หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตาพระมหาบัวท่านเป็นพระอรหันต์” แต่กว่าที่จะเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ทุกองค์ต้องผ่านจากการเริ่มต้นประพฤติปฏิบัติพื้นฐานแบบพวกเรานี่ แล้วกว่าที่จะผ่านพื้นฐานแบบพวกเรา แล้วเวลายกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ กว่ามันจะก้าวเดินไป มันล้มลุกคลุกคลานมาขนาดไหน

พ่อแม่เลี้ยงลูกมาแต่ละคนกว่ามันจะเติบโตขึ้นมา พ่อแม่ต้องคุ้มครองดูแลมันขนาดไหน แล้วถ้ามันไปคบเพื่อนที่ดีงามมันก็เป็นสิ่งที่พ่อแม่ภูมิใจ ถ้ามันไปพบเพื่อนที่เกเร เพื่อนก็พามันไปอีลุ่ยฉุยแฉก พ่อแม่ก็ทุกข์ใจ

จิตฝึกหัดภาวนา ถ้ามันคบกิเลส กิเลสมันพาไปอีลุ่ยฉุยแฉก แล้วมันไม่เชื่อฟังใคร ครูบาอาจารย์ท่านก็ได้แต่นั่งมองอยู่ธรรมดา แต่ถ้าใครฝึกหัดปฏิบัติแล้วพยายามขวนขวายในตัวของเขา ครูบาอาจารย์ท่านก็คอยอบรมคุ้มครองดู เพราะมันจะต้องเข้าสู่สัจจะความจริง เข้าสู่มรรคสู่ผลในอนาคต ถ้าฝึกหัดตามความเป็นจริง

นี่ก็เหมือนกัน การฝึกหัดปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ท่านอยากให้เราฝึกหัดทุกคนแหละ แต่การที่ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา วาสนาจริงๆ นะ แล้วทุกคนปฏิบัติแล้วอยู่ที่อำนาจวาสนา คือว่าท่านมีปัญญามากน้อยขนาดไหน ถ้ามีปัญญามาก ท่านจะมีข้อวัตรปฏิบัติของท่าน ท่านจะมีธรรมที่คอยอบรมบ่มเพาะเรา ถ้าครูบาอาจารย์ที่ท่านฝึกหัดปฏิบัติแล้วท่านก็รู้ ท่านก็ทำได้ แต่ท่านจะมาอธิบายให้เราเข้าใจ เป็นไปได้ยาก อยู่ที่วาสนาของคน

เหมือนเราเรียนหนังสือ อาจารย์บางคนอธิบายเราเข้าใจได้ดีมากเลย อาจารย์บอกว่าอธิบายแล้วเราไม่รู้เรื่องเลยล่ะ เหมือนกัน

นี่ก็เหมือนกัน ฉะนั้น ครูบาอาจารย์ที่ท่านฝึกหัดปฏิบัติมาก่อน หลวงตาพระมหาบัวท่านถึงพูดว่า การปฏิบัติมียากอยู่ ๒ คราว คราวหนึ่งคือคราวเริ่มต้น เริ่มต้นกว่าเราจะผ่านพงหนาม กว่าเราจะผ่านป่ารกชัฏ กว่าเราจะผ่านกิเลสของเราเข้าไปสู่จิตใจของเราตามความเป็นจริง แสนทุกข์แสนยาก แต่ผู้ที่ปฏิบัติง่ายๆ ง่ายๆ มันจะผ่าพงหญ้าพงหนามมันไม่ผ่าน มันไปนั่งอยู่ขอบๆ นั่นน่ะ แล้วก็สบายๆ อยู่อย่างนั้นน่ะ

การประพฤติปฏิบัติ ผู้ที่ปฏิบัติเขารู้

ฉะนั้น สิ่งที่เวลาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เริ่มต้นก็ล้มลุกคลุกคลานอย่างนี้ทั้งนั้นน่ะ เราจะไม่ไปแปลกแยกว่ามันจะเป็นอย่างนู้นจะเป็นอย่างนี้

มันเป็นอย่างนี้อยู่ที่ กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา มันอยู่ที่อำนาจวาสนาของแต่ละบุคคล อำนาจวาสนาถ้าบุคคลที่ทำคุณงามความดีมาเขาก็จะไม่เชื่อใครเลย เขาจะฝึกหัดปฏิบัติของเขาตามความเป็นจริงของเขา ถ้าตามความเป็นจริงของเขานะ อะไรที่มันเป็นความคุ้นเคย เรารู้แล้วมันเป็นเรื่องโลกๆ ที่เรารู้อยู่แล้ว ถ้ามันเป็นความจริง เราก็ต้องเป็นคนดีไปแล้วน่ะสิ

มันไม่จริงเพราะอะไร

เพราะเดี๋ยวมันก็ดี เดี๋ยวมันก็ร้าย มันไม่มีอะไรจะทำให้เรามีหลักยึดได้ในใจเลย แต่ถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมามันต้องมีเหตุมีผลสิ มันต้องมีหลักยึด มันต้องมีที่มั่น หัวใจมั่นคงของมัน ไอ้นี่หัวใจไม่ต้องถามใคร ถามตัวเอง ทุกข์ไหม ดูแลมันยากไหม มันแสนทุกข์แสนยากทั้งนั้นน่ะ

ฉะนั้น ที่เวลาฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมา ที่คำถามอารัมภบทมา เห็นไหม ทำมาตั้งนาน ทำมาพิจารณากาย ทำความสงบของใจแล้วพิจารณากาย มันไม่เคยเห็นอาการอย่างนี้เลย แต่พอเวลามันเห็น มีอยู่พักหนึ่งเห็นโดยเหมือนโครงกระดูกที่ถูกไฟเผา แล้วมันบอกเองด้วย มันรู้สึกขึ้นมาเลยว่า มันคือตัวเราเอง

เวลาเห็นกายๆ เห็นกายเริ่มต้นน่ะ เวลาเราฝึกหัดประพฤติปฏิบัติใหม่ก็เหมือนกัน เราเคยเห็นอยู่ทีหนึ่ง เรานั่งๆ อยู่นี่เราเห็นซากศพเลย ซากศพนอนอยู่ข้างหน้านี่ แล้วเราก็ไปถามอาจารย์เราเหมือนกันว่านั่นคืออะไร

ท่านตอบอย่างนี้ “คือของเอ็งนั่นแหละ”

แต่เราก็ไม่รู้ เราเคยเห็นนะ เราเคยนั่งสมาธิเวลาจิตสงบ เห็นมีศพนอนอยู่ข้างหน้า ตอนนั้นฝึกหัดปฏิบัติใหม่ๆ มันฟลุก มันส้มหล่น เห็นแล้วก็งงไง รีบไปถามอาจารย์เลย “ไอ้นั่นมันคืออะไรน่ะ”

ท่านก็ตอบอย่างนี้ “ก็ของเอ็งนั่นแหละ ตัวมึงนั่นแหละ”

ในใจเรานะ ตัวเราได้อย่างไร กูนั่งอยู่นี่ ซากศพมันอยู่นู่น แล้วกูยังเป็นคนเป็นอยู่ ยังไม่ตาย แล้วซากศพมันจะเป็นเราได้อย่างไร ใจเถียง คิดเอาไว้ในใจไง คิดอย่างนี้ เถียงในใจ เวลาจิตมันสงบแล้วไปเห็น เห็นศพนอนอยู่ข้างหน้า งงเลยนะ แต่พอมันปฏิบัติไปแล้วพอมารู้ทีหลัง เออ! ใช่ ท่านพูดถูก

นี่เหมือนกัน นี่พูดเลย “สักพักหนึ่งหนูเห็นโครงกระดูกที่ถูกเผาแล้ว ซี่โครงของคน รู้สึกเลยว่านั่นคือตัวหนูเอง”

อันนี้มีบุญมากนะ ยังไม่ถามว่านั่นคืออะไร

“นี่คือตัวหนูเอง แต่ความเห็นอันนี้มันแตกต่างกับความเห็นครั้งที่แล้วๆ มา”

นี่มันยืนยันไง ครั้งที่แล้วๆ มา ครั้งที่แล้วคือสัญญา นี่เป็นสัญญา ที่บอกว่าเหมือนเรานึกของเราขึ้นมาเอง

ถ้าเรานึก ไอ้นั่นมันเป็นวิธีการปฏิบัตินะ ถ้าครูบาอาจารย์ที่ท่านฝึกหัดปฏิบัติมาแล้ว เวลาผู้ที่ลูกศิษย์ลูกหาที่ทำความสงบของใจแล้วจะฝึกหัดพิจารณากาย แต่มันไม่มี มันไม่เป็น ท่านก็บอกให้นึก เขาเรียกรำพึง

ตามบาลีว่าให้รำพึงขึ้น จิตสงบแล้วรำพึงให้เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง นี่ธรรมและวินัย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอบรมบ่มเพาะไว้

ถ้าเราฝึกหัดปฏิบัติ อำนาจวาสนาของเราน้อยนิด แล้วมันไม่มีสิ่งใดที่จรรโลงหัวใจ ให้รำพึง รำพึงถึงกาย รำพึงถึงเวทนา รำพึงถึงจิต รำพึงถึงธรรม

แล้วรำพึงทำอย่างไรล่ะ

ก็คิดไง นึกเอานี่แหละ นี่คือรำพึง แต่รำพึงในสัมมาสมาธิ แล้วถ้ามันรู้มันเห็นขึ้นมาได้ นั่นก็เป็นการจุดเริ่มต้น นั่นน่ะเริ่มต้นแห่งการฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ ถ้ามีอำนาจวาสนามันจะเห็นกาย

นี่เหมือนกัน เขาพิจารณากายมานานแล้วหลายรอบ แล้วมันก็รู้เห็นอย่างนั้นน่ะ มันก็เป็นความภูมิใจ ความรู้ความเห็น ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เรารู้เราเห็นเอง เราก็ภูมิใจ ถ้าเราจะรู้เห็นสิ่งใด เราจะมีความภูมิใจของเรา แต่เวลาภูมิใจก็ส่วนความภูมิใจสิ แต่เวลามันเห็นแตกต่าง

“ครั้งที่แล้วๆ ไม่เห็นเหมือนอย่างนี้เลย”

เห็นไหม ครั้งที่แล้วๆ มามันก็เป็นวิปัสสนึกไง แต่ถ้ามันเป็นความจริงมันเป็นแบบนี้ เป็นความจริงมันเป็นข้อเท็จจริง

แล้วมันคืออะไรล่ะ เราไม่รู้ แต่ถ้าเรารู้ เรานึกเอา

แต่นึกเอา จะบอกว่าการนึกเอานี้ผิด...ไม่ใช่

การนึกเอา เริ่มต้นจากผู้ที่ฝึกหัดปฏิบัติยังทำไม่เป็น ก็ต้องฝึกหัดอย่างนั้นเป็นการเริ่มต้น เป็นหนทาง เป็นหนทางแห่งการชักจูงหัวใจให้ก้าวหน้าพัฒนาขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง แต่ถ้ามันยังไม่เป็นมันก็ต้องฝึกหัดอย่างนี้

ฉะนั้น เวลามันเป็น นี่เป็นข้อเท็จจริง เป็นการยืนยันว่า วิปัสสนึกกับความเป็นจริงมันแตกต่างกันอย่างไร ถ้ามันแตกต่าง มันแตกต่างจากผู้ที่รู้ที่เห็น นี่เป็นข้อเท็จจริง

ฉะนั้น สิ่งที่ว่า เขาเคยเห็นมา มันไม่เป็นอย่างนี้ เวลามันเป็นอย่างนี้แล้ว เมื่อก่อนมันไม่เคยเป็นอย่างนี้เลย แล้วถ้าเป็นอย่างนี้แล้วมันซาบซึ้งหัวใจ

ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก การฝึกหัดปฏิบัติ นี่พูดถึงว่าเริ่มต้นอารัมภบท

ฉะนั้น คำถาม “๑. ที่หนูทำคืออะไรคะ ควรทำอย่างไรต่อไป”

สิ่งที่ทำๆ นักกีฬา นักมวย เขาซ้อมแล้วซ้อมเล่าๆ เวลาขึ้นชกน่ะ เวลาขึ้นชก ๕ ยกจบ ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เวลาฝึกหัดปฏิบัติถ้ารู้ถ้าเห็นนั่นน่ะข้อเท็จจริง แต่ถ้าเป็นข้อเท็จจริงอย่างนี้จะเกิดขึ้น เกิดขึ้นได้อย่างไร

ก็หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ซ้อมแล้วซ้อมเล่าๆ ภาคซ้อมไง

นี่ก็เหมือนกัน “ที่ทำมาควรทำอย่างไรต่อคะ”

ก็กลับไปฝึกหัดแบบนี้ ฝึกหัดแบบเริ่มต้น ฝึกหัดแบบที่ประพฤติปฏิบัติมา ถ้าฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ ถ้ามันสมดุล สมดุลพอดี มันก็จะเห็นกายแบบเป็นโครงซาก ที่เป็นซากโครงกระดูกที่ถูกเผา มันจะรู้จะเห็นจริงๆ ของมัน แล้วไม่ยึดนะ ไม่ยึดว่าจะต้องเป็นโครงกระดูกที่ถูกเผาเท่านั้น

เวลาพิจารณากายๆ ถ้าใครมีกำลังแล้วมันจะไปเห็นอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง เห็นผิวหนัง เห็นเป็นเส้นผม เส้นขน เส้นผม เส้นขนก็ยังเห็นได้เลย เห็นแล้วถ้ามันแยกส่วนขยายส่วนได้เป็นไตรลักษณ์ได้ทั้งนั้นหมด แล้วถ้ามันเห็น เขาเรียกว่าปัจจุบัน

แต่ถ้าเรานึกว่าเคยเห็นเป็นโครงซากโครงกระดูก จะต้องเป็นโครงซากกระดูกต่อไป ครั้งที่สองเป็นสัญญาแล้ว เว้นไว้แต่ถ้าเป็นข้อเท็จจริง ครั้งที่สองถ้ามันเป็นจริงๆ เป็นจริงมันจะขนพองสยองเกล้า เป็นจริงมันสะเทือนกิเลส เป็นจริงรสชาติมันแตกต่างกับสัญญาร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าเป็นจริงๆ ฝึกหัดจนมีความชำนาญไง

ถ้าฝึกหัดจนมีความชำนาญแล้วจะเจริญก้าวหน้าไป การฝึกหัดปฏิบัติไป ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ ฝึกหัดปฏิบัติของเราจนจะมีความชำนาญ ชำนาญในวสี ชำนาญในการเข้าการออกสมาธิ ชำนาญในการฝึกหัดใช้ปัญญา มันต้องมีความชำนาญของมัน

ถ้าคนที่มีอำนาจวาสนา ผู้ที่ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย ครั้งสองครั้งเขาผ่านได้ แต่ถ้าคนที่ไม่มีวาสนา เป็นพันครั้งหมื่นครั้งก็ย่ำอยู่กับที่น่ะ นี่บุญและบาปของคน

ฉะนั้น “ที่หนูทำเขาเรียกอะไรคะ ควรทำอย่างไรต่อไปคะ”

ที่ทำมาคือเราเห็นโครงกระดูกก็คือเห็นกาย เราเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริงได้หนหนึ่งซาบซึ้งขนาดนี้ แล้วเห็นซ้ำเห็นซาก มีการฝึกหัดทำให้มีความชำนาญมากขึ้น

“ควรทำอย่างไรต่อไป”

ควรทำ กลับไปทำความสงบของใจเข้ามา แล้วฝึกหัดมา น้อมไป รำพึงไป ถ้ามันรู้มันเห็นมันก็เรื่องหนึ่ง ถ้าไม่รู้ไม่เห็น กรณีนี้มันเกิดขึ้นจากบุญจากบาป เกิดขึ้นจากเราไม่ได้ตั้งใจ เกิดขึ้นจากว่าเราไม่ได้จงใจ มันเป็นขึ้นมาโดยข้อเท็จจริง มันถึงมีรสชาติแตกต่างกับการวิปัสสนึก

ถ้ามันเป็นจริงๆ สะเทือนใจอย่างนี้ สะเทือนใจว่าอยากจะได้ต่อไป ต่อไปฝึกหัดถ้ามันเป็นจริงได้มันก็เป็น ถ้าเป็นจริงไม่ได้ เราก็พยายามทำให้เป็นปัจจุบันธรรม จบ

“๒. ที่ผ่านมาพอจิตสงบแล้วหนูไม่ถนัดในการกำหนดภาพกาย พอทำแล้วรู้สึกว่ามันนึกคิดเอาเอง แต่จะชอบดูที่ว่าอะไรกำลังปรากฏ แล้วจับสิ่งนั้นมาพิจารณามากกว่า หนูทำถูกไหมคะ”

สิ่งที่ปรากฏเป็นปัจจุบันนั้นถูก แล้วทำถ้ามันเป็นความจริง ทำที่มันมีสัมมาสมาธิ จิตที่มีกำลังมันจะเห็นชัดเจนแบบเห็นครั้งที่แล้ว

แต่ถ้ากำลังมันไม่พอ กำลังสมาธิมันไม่พอ เหมือนไฟตก เหมือนไฟที่เออร์เรอร์ มันทำให้การทำงานเราเสียหายหมด ถ้ามันเสถียร มันนิ่ง มันสมบูรณ์แบบของมัน เสถียร นิ่ง แต่ไม่ได้ใช้ทำประโยชน์ มันก็ไม่เป็นประโยชน์

เสถียร นิ่ง แต่ถ้ามันเป็นประโยชน์ เห็นซากโครงกระดูกหนเดียวสะเทือนใจเลย เห็นบ่อยครั้งเข้าๆ ฝึกหัดจนมีความชำนาญ ถ้ามีความชำนาญแล้ว อยู่ที่การกระทำของเรา ไม่ต้องตกใจ นี้คำถามนะ จบ

ถาม : เรื่อง “เวทนา”

ขอความเมตตาหลวงพ่อ ครั้งก่อนเคยถาม คือลูกลำดับผลการปฏิบัติที่ให้ชัดเจนขึ้นด้วยความเมตตาของหลวงพ่อ

ตอบ : นี่มันเขียนยาวมาหลายหน้าเลย แล้วการฝึกหัดปฏิบัติของเขา การนั่งสมาธิ เขาจะตกภวังค์ร้อยทั้งร้อย ดังนั้นเขาถึงนั่งสมาธิแล้วสลับกับการลืมตาหลับตา การนั่งของเขา แล้วเขาพูดถึงว่าใช้ปัญญา ครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ ในการต่อสู้กับเวทนาของเขา จนเขาคิดว่า สิ่งที่เขาภาวนาต่อไปมันถูกหรือผิดไง

คำถามเขียนถึงผลของการปฏิบัติมา ๓๔ หน้า ฉะนั้น สิ่งนี้เคยตอบปัญหาไปแล้ว เพราะเขาบอกว่าเขาเคยถามมาหลายครั้งหลายคราว แล้ววิตกกังวลว่าเขาจะมีปัญญาทำอย่างนี้ได้อีกหรือไม่ ถ้าทำแล้วมันจะเป็นประโยชน์หรือไม่

สิ่งที่เป็นสัจจะเป็นความจริงเป็นข้อเท็จจริงนะ เวลาคนเราเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เห็นไหม บ้าห้าร้อยจำพวก คนเรามีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มีความชอบ มีความผลักดันผลักไสที่ไม่ต้องการ อันนี้คืออะไร ตัณหาความทะยานอยากไง อยากได้ ไม่อยากได้ อยู่เฉยๆ เป็นกิเลสทั้งสิ้น เป็นสมุทัย

ฉะนั้น เวลาเป็นสมุทัย เป็นสมุทัยมันเป็นข้อเท็จจริงในหัวใจของตน ถ้าจิตเป็นปกติ แต่ถ้าจิตมันผิดปกติขึ้นมา เวลาจิตผิดปกติเราก็ไปรักษาให้มันกลับไปเป็นปกติไง แล้วถ้าฝึกหัดประพฤติปฏิบัติมันจะมีศีล สมาธิ ปัญญา ศีลคือความปกติของใจ ถ้ามันไม่ปกติมันก็ไปทำผิดไง เวลาทำผิดมันทำแต่ความชอบใจความพอใจของตน

เรามีสติสัมปชัญญะ เราจะไม่ทำผิดศีล เราจะทำธรรม ๕ ไม่ฆ่าสัตว์ มีเมตตาสัตว์ ไม่ลักของเขา ช่วยคุ้มครองดูแลเขา ไม่ผิดคู่ครองของใคร แล้วเราก็ไม่ยุ่งกับใคร ไม่โกหกมดเท็จ เราก็พูดสัจจะความจริง ไม่เอาสิ่งใดที่เป็นของมึนเมาเข้าร่างกาย แล้วเราก็จะปกป้องคุ้มครองดูแลคนอื่นอีกด้วย นี่ศีล ๕ ธรรม ๕ ถ้าศีล ๕ ธรรม ๕ ขึ้นมามันจะเป็นความปกติสุขไง

ถ้ามีศีลๆ มีศีลแล้วไม่มีธรรม ไม่มีธรรม ๕ ไง ไม่มีธรรม ๕ คือไม่มีเมตตา ไม่สร้างสมบุญญาธิการเข้ามากับใจของตน มันจะเกิดประโยชน์อะไรกับใคร

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าจิตมันผิดปกติๆ มันจะเป็นแพนิก มันจะเป็นจิตเภทต่างๆ นั้นมันเป็นเพราะความผิดปกติ ถ้าผิดปกติแล้วเราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธพอ ถ้าพิจารณาไปๆ มันจะมีปัญหาขึ้นไป

แต่ตอนนี้เขาบอกว่าเขากำลังถอนยา ออกจากยาทั้งหมดทั้งสิ้น แล้วถ้าออกจากยาทั้งหมดทั้งสิ้นนะ สิ่งที่ว่ามันเป็นเวทนา มันเป็นอย่างใด นั่นมันใช้ปัญญาๆ ไป แล้วบอกว่าเขาพุทโธไม่ได้ ถ้าพุทโธแล้วตกภวังค์ตลอด

ฉะนั้น การใช้ปัญญาๆ การใช้ปัญญาอย่างนั้นมันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าปัญญาอบรมสมาธิมันก็เป็นประโยชน์กับการรักษาใจของตน

เวลาคนที่ผิดปกติมานะ เวลาบอกให้พุทโธอย่างเดียว ให้หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ใช้อานาปานสติ ทำความสงบของใจเท่านั้น ถ้าใช้ปัญญาๆ นั่นน่ะ ตรงนั้นน่ะมันเป็นทางออก เป็นทางออกของกิเลสที่มันจะย่ำยีด้วย ฉะนั้น เราจะใช้ทำความสงบอย่างนั้น

แต่คำถาม คำถามที่ถามมาตลอดบอกว่า “ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติจะพ้นจากทุกข์ จะเผชิญกับเวทนา ถ้าเผชิญกับเวทนา มันเผชิญกับเวทนาโดยการใช้ปัญญา แล้วการใช้ปัญญาแต่ละครั้งมันก็สงบได้”

นี่ปัญญาอบรมสมาธิแต่ละครั้งแต่ละตอน

“แต่ก็เป็นความวิตกกังวลว่าแล้วจะเอาปัญญาที่ไหนมาใช้ เอาปัญญาที่ไหนมาใช้”

ปัญญาที่จะเอามาใช้มันเป็นปัจจุบันธรรม มันจะเกิดขึ้นกับสัมมาสมาธิเป็นพื้นฐาน แล้วมันมีมากมายมหาศาล

ไอ้นี่มันเป็นสัญญาไง สัญญาที่เราใช้สติปัญญาที่เราไปแก้ไขความเจ็บปวดกับเวทนาแต่ละขั้นแต่ละตอน เราก็ต้องใช้ปัญญา

ทีนี้ปัญญาพอใช้ไปแล้วจะใช้ซ้ำ มันก็เลยกลายเป็นวิตกกังวล

นี่มันจะเข้าสู่โรคภัยไข้เจ็บอันนั้นไง ฉะนั้น เราไม่ต้องไปกังวลอันนั้น เราวางอันนั้น

แต่คำถามส่วนใหญ่จะบอกว่า “ถ้าหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธมันจะตกภวังค์ทันที แล้วตกภวังค์ร้อยเปอร์เซ็นต์”

จะตกภวังค์ร้อยเปอร์เซ็นต์นะ ไอ้นี่มันอยู่ที่กำลัง คนอ่อนแอ เด็กๆ เด็กๆ จะยกของไม่ได้เลย ของหนักเด็กๆ จะยกไม่ได้ พ่อแม่จะช่วยคุ้มครองตลอดเวลา แต่ถ้ามันแข็งแรงขึ้นมา เติบโตขึ้นมา มันก็ยกของได้ทั้งนั้นน่ะ

จิตก็เหมือนกัน จิตถ้าฝึกหัดเป็นปกติขึ้นมา ถ้าเป็นสัมมาสมาธิแล้ว ถ้ามันมีกำลังขึ้นมามันทำอะไรก็ได้

แต่นี่มันเป็นความวิตกกังวลว่า “จิตมันไม่มีกำลัง นั่งสมาธิไม่ได้ ถ้านั่งไปแล้วมันตกภวังค์ร้อยทั้งร้อย มันต้องใช้ปัญญาอย่างนี้”

การว่าใช้ปัญญาอย่างนี้เพราะเราติดใจไง เราติดใจว่าพอเราใช้ปัญญาแล้วเราเข้าใจว่ามันเป็นประโยชน์กับเรา มันเป็นประโยชน์กับเราต่อเมื่อเหตุการณ์เป็นปัจจุบันเฉพาะหน้าเท่านั้น

แต่ถ้าเป็นการฝึกหัดประพฤติปฏิบัตินะ ในหลักของพระกรรมฐาน ในหลักของวงกรรมฐานนะ ศีล สมาธิ ปัญญา มันต้องมีศีล ต้องมีสมาธิ ต้องมีปัญญา

ถ้าไม่มีสมาธิมันก็เป็นปัญญาอย่างนี้ มีปัญญานะ เท่าทันเวทนานะ แต่ก็เป็นทุกข์ว่า แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนมาชนะมันทุกครั้งทุกคราวตลอดไป แล้วถ้าเวทนาข้างหน้ามันยิ่งใหญ่กว่านี้เราจะไม่ทุกข์ตายเลยหรือ

นี่เพราะมันคือสัญญาทั้งสิ้น คือปัญญาเป็นสูตร เป็นทฤษฎี เป็นข้อกำหนด แต่ถ้าเป็นปัญญาปัจจุบันมันไม่เป็นอย่างนี้

ปัญญาปัจจุบัน ข้างหน้าอะไรเกิดขึ้น อะไรเกิดขึ้นก็แก้ไขตามสถานการณ์ข้างหน้านั้น เราลุก เรานั่ง เราเดิน เรานอน อิริยาบถ ๔ เช้าขึ้นมาออกกำลังกาย เดิน อ้าว! เราก็มีสติปัญญา ทานอาหารเราก็มีสติปัญญา ออกไปทำงาน เราก็ต้องมีสติปัญญาทำงาน มันแตกต่างกันไหม

ออกกำลังกาย ทานอาหาร ไปทำงาน กลับจากทำงาน ออกกำลังกายตอนเย็น ทำวัตรสวดมนต์ นอน มีปัญญาไปตลอด ถ้ามีปัญญาไปตลอด จะไปวิตกกังวลอะไรกับจะเอาปัญญาที่ไหนมาแก้ไขเวทนานี้ เพราะนี่คือชีวิตประจำวันไง นี่คือเรื่องโลกไง แต่ถ้าฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา

ฉะนั้นบอกว่า คำถามเขาถามมากมายมหาศาลเลย ฉะนั้น คำถามสรุปที่ ๓ ข้อสุดท้าย

“๑. วิธีการปฏิบัติที่ลูกใช้เป็นมวยวัด ที่พอเห็นผลนั้น มันเป็นผลปฏิบัติที่แท้จริงหรือไม่ ลูกควรจะเชื่อและใช้แนวทางปฏิบัตินี้หรือไม่ ล่าสุดเริ่มจะติดค่ะ คือไล่ความเจ็บปวดบริเวณที่ร่างกายยังมีความเจ็บปวดค้างอยู่หลังจากปฏิบัติแต่ละครั้งยังไม่ค่อยได้ ช่วงเริ่มต้นร่างกายส่วนนี้จะเกิดเวทนาก่อนเลย และยังหาเหตุผลไล่ไม่ค่อยได้ จนมุมกับคำตอบที่ว่าเป็นความเจ็บปวดสะสมมาจากการนั่งนานๆ ต่อเนื่องทุกวัน

ส่วนคำสอนหลวงพ่อที่ให้เริ่มจากการทำสมาธิให้เกิดก่อนจนจิตมีกำลัง จึงค่อยออกพิจารณาเวทนาตามที่หลวงพ่อสอนนั้น ยังเป็นไปไม่ได้เลยค่ะ สัมมาสมาธิยังเป็นเรื่องห่างไกล จิตตกเรื่องที่ไม่มีหลักเกณฑ์อะไรเลยค่ะ”

“๒. ลูกพบว่า คำสอนที่เคยได้ยินได้ค้นคว้ามามันไม่เหมือนกับที่ลูกเจอ หากลูกเผลอไปยึดเอาสิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังมาใช้ในหลักการปฏิบัติ บางความเชื่อมันทำให้ได้ผลที่แย่ลงเลย ก็เลยต้องปฏิเสธสัญญาเดิมๆ เกือบทั้งหมด แล้วพิจารณาเทียบเคียงกับปัจจุบันธรรมด้วยเหตุผลชนะขาด จึงจะลดเวทนาได้”

“๓. ข้อเสียของลูกคือเป็นคนที่ชอบคิดอะไรเป็นระบบแบบแผน และติดทางโลกอยู่มาก ดื้อ ไม่ฟังใครเลยจนกว่าจะทำเอง จะเชื่อผลที่เกิดจากการทดสอบนั้นๆ คำถามคือการยึดติดกับหลักความคิดที่เป็นระบบแบบแผนจะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติหรือไม่ (วิตกจริตเยอะค่ะ) เพราะเคยได้ยินว่า นอกเหตุเหนือผล”

นอกเหตุเหนือผล คือเขารู้จริงแล้วเขาวางไว้ แล้วเขานั่งยิ้มด้วย

ไอ้นี่นอกเหตุเหนือผลมันกดขี่เกือบตาย ยังจะว่าเป็นนอกเหตุเหนือผล นอกเหตุเหนือผลคือกิเลสมันอ้าง นอกเหตุเหนือผลคือไม่ต้องทำอะไร นอกเหตุเหนือผลคือคิดเอาตามใจชอบ นอกเหตุเหนือผลคือคิดเอาตามความพอใจ อ้างทั้งนั้น เวลาอ้างแล้ว นอกเหตุเหนือผลก็ไปเอานั้นมาค้ำคอไง

แต่ถ้าปฏิบัติตามความเป็นจริง เป็นจริงอย่างนี้

แต่นี่ปฏิบัติมาแล้ว แล้วเขียนมาถามหลายรอบ การสู้กับเวทนา เราก็ตอบกันมาเป็นชั้นๆๆ ขึ้นมา แต่คราวนี้มาบอกเลยว่ามันกำลังจะลดยา แล้วมันบอกว่านั่งทีไรมันตกภวังค์

เพราะความตกภวังค์นั่นแหละมันไม่ปกติ ถ้าเป็นปกติ มีสติสัมปชัญญะ กำหนดพุทโธ อานาปานสติ เอาแค่นี้

แต่บอกว่าถ้านั่ง คำถามเขียนมาเลย “ตกภวังค์ร้อยเปอร์เซ็นต์” คือมันทำไม่ได้ มันหล่นหายไปเลย นั่งแล้วจับต้นชนปลายไม่ได้ คือตั้งตัวเองไม่ได้ ทั้งๆ ที่เป็นตัวเอง ทั้งๆ ที่มันเป็นจิต

จิตอยู่ท่ามกลางหัวออกนี้ ถ้าจิตออกจากร่างคือคนตาย คนเป็นมันมีกายกับใจ ใจคือจิต จิตคือใจ แล้วร่างกายหมอรักษาอยู่ แล้วจิตถ้ามันผิดปกติ กินยาๆ จนยาควบคุมให้มันกลับมามีสติสัมปชัญญะ คือไม่ทุกข์ยากจนเกินไป แล้วจะฝึกหัดๆ ฝึกหัดปฏิบัติ ถ้าจิตปกติ ฝึกหัดให้กลับมาเป็นปกติ นี่คือบุญกุศลแล้ว

ทีนี้เวลาฝึกหัดปฏิบัติ “ชนะเวทนา เวทนาไม่ใช่เรา เราไม่ใช่เวทนา ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา” นั่นไปนู่นน่ะ นอกเหนือเหตุเหนือผลไง คิดเอาเองไง นอกเหนือเหตุเหนือผล เขาบอกว่ามันเป็นเชื่อในนอกเหตุเหนือผล

ฉะนั้น มันเป็นเรื่องความมักง่าย เรื่องความอยากได้ แต่มันไม่ได้ เรื่องความอยากได้ แต่ทำให้ตัวเองเป็นผลของกิเลสมันชักนำ ที่พูดทุกวัน ปฏิบัติบูชากิเลสๆ

ไอ้นี่เพียงแต่ว่าเราเกิดมาทุกข์มายาก แล้วเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วมีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนานะ สิ่งที่ไปรักษาๆ รักษาทางการแพทย์ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ท่านบอกเลย พระเป็นหมอทางจิตวิญญาณ ในทางตะวันตกนะ เจ็บไข้ได้ป่วยไปหาหมอ หมอคิดตังค์ทั้งนั้นน่ะ

นี่เหมือนกัน ถ้าเราเกิดในทางตะวันออก แต่ถ้าเราต้องการพึ่งพาอาศัย เราก็ไปหาหมอที่โรงพยาบาลจิตแพทย์ แต่ถ้าเราจะรักษา รักษาด้วยธรรมโอสถ ถ้ารักษาด้วยธรรมโอสถขึ้นมา เรามีสติปัญญามากน้อยขนาดไหน

แล้วอย่างนี้นอกเหตุเหนือผล “มีครูบาอาจารย์มากมาย แล้วฟังมาเยอะมาก แล้วทำอย่างไรล่ะ”

ไอ้นั่นน่ะเพราะมันนอกเหตุเหนือผล เลยไม่มีเหตุไม่มีผลไง ไม่มีที่มาที่ไปไง

ถ้าไม่มีเหตุมีผล ไม่มีที่มาที่ไป อย่างที่พูดเมื่อกี้นี้ เริ่มต้นปฏิบัติครั้งแรก ป่ารกชัฏ มีแต่ขวากหนาม ถ้ามีครูบาอาจารย์ให้ฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมา เขาจะฟันฝ่าป่ารกชัฏ ขวากหนามนั้นถางให้โล่งเตียนเลย สมถกรรมฐาน สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ถ้าเป็นข้อเท็จจริงไง ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่แท้จริงไง

ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่ไม่แท้จริง อยู่ชายป่านู่น นอกเหตุเหนือผล มันคิดไปได้ร้อยแปด แล้วเป็นประโยชน์กับใคร

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าคำถามนี้ตอบมา ปัญหานี้ตอบมาหลายรอบแล้ว เรื่องชนะเวทนา ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้ามันเป็นปัญญาเป็นครั้งเป็นคราว แล้วเป็นครั้งเป็นคราวอย่างนี้ มันเป็นสัญญา

นี่ไง ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปสอนพระโมคคัลลานะ ง่วงเหงาหาวนอนไง ตกภวังค์นี่ไง ให้ตรึกในธรรมนี่ไง พอตรึกในธรรมขึ้นมามันก็ตื่นตัวขึ้นมานี่ไง ถ้ามันตื่นตัวขึ้นมาจนเป็นข้อเท็จจริง จนพระโมคคัลลานะเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายด้วย

ไอ้นี่ก็ใช้ตรึกในธรรมไง ชนะเวทนาด้วยปัญญาไง นี่แหละตรึกในธรรม ที่เราตรึกในธรรม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหตุและผลนั้นเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เหตุผลของผู้ถาม

ถ้าผู้ถามๆ ถ้าจิตสงบแล้วเราใช้สติปัญญา เวลาภาวนาไปมันจะเหมือนคำถามแรกเลย ถ้าเวลามันเห็นนะ มันจะไปเห็นโครงกระดูกเหมือนที่โดนเผา แล้วบอกด้วย นั่นคือโครงกระดูกเราเอง คือตัวเราเอง

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ จิตสงบแล้ว แล้วถ้าพิจารณาด้วยปัญญาของตนนะ มันจะเป็นภาวนามยปัญญา มันจะเห็นกิเลสของตน

ไอ้นี่กลัว เป็นไปไม่ได้เลยที่ทำสมาธิ เพราะมันตกภวังค์ตลอด

แก้ไขตรงนี้ ถ้าแก้ไขได้จะเป็นอริยทรัพย์ของตนเอง หมอรักษาด้วยเคมีนะ ด้วยยา ธรรมโอสถขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้ทางเท่านั้น ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติด้วยตัวของเราเอง ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกไง

คำว่า ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก” คือมีศรัทธา มีความเชื่อมั่น แล้วนอกเหตุเหนือผลอย่าเอามาอ้าง นอกเหตุเหนือผลคือไม่ต้องการอะไรเลย คือเด็กงอแงที่จะเอาตามใจตัว แล้วร้องแรกแหกกระเชอกับแม่ รีดนาทาเร้นเอาจากแม่ แม่ต้องควักเงินให้ นอกเหตุเหนือผล ไม่มีเหตุไม่มีผล บีบบังคับเอาด้วยน้ำตาจากพ่อจากแม่ อันนี้นอกเหตุเหนือผล ให้กิเลสมันบีบมันคั้น มันหลอกมันลวงว่านอกเหตุเหนือผล ทำลายตัวเอง

นอกเหตุเหนือผลของธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านบุคคลคู่ที่ ๔ พิจารณาด้วยเหตุด้วยผลโดยสัจธรรม เหนือเหตุเหนือผล เหนือโลกเหนือสงสาร เหนือวัฏฏะ

ไอ้นั่นอยู่ข้างนอกนู่น ไกลๆ มันคนละเรื่อง

นอกเหตุเหนือผล ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริง เพราะเขาทำด้วยเหตุด้วยผล ใจดวงใดไม่มีมรรค ใจดวงนั้นไม่มีผล ใจดวงใดมีมรรคชำระล้างฆ่ากิเลส ไอ้ตัวจอมปลอม ไอ้ตัวเจ้าเล่ห์ ไอ้ตัวแอบอ้าง ยถาภูตัง กิเลสตาย เกิดญาณทัสสนะว่ากิเลสตายแล้ว มันชัดเจนขนาดนั้นมันถึงเหนือเหตุเหนือผล เหนือทุกอย่างไง

ไอ้เราไม่มีอะไรเลย นอกเหตุเหนือผล ร้องไห้บังคับเอาจากพ่อจากแม่ พ่อแม่เขารัก อะไรเขาก็ให้ได้ ไอ้นี่กิเลสมันร้าย มันจะชักนำไปเป็นขี้ข้ามันไม่มีต้นไม่มีปลาย

ฉะนั้น สิ่งที่ถามมาทั้งหมด ที่ชนะเวทนามาทั้งหมด มันเป็นของชั่วคราว ชั่วคราว ชั่วคราว แล้วถ้าเป็นข้อเท็จจริง ศีล สมาธิ ปัญญา

ถ้าเกิดสมาธิ มันจะเกิดแบบคำถามข้อแรกที่ว่า เห็นโครงกระดูกโดนเผา แล้วโครงกระดูกโดนเผานั้นคือตัวเราเอง นี่เหมือนกัน เห็นกิเลสแล้วกิเลสมันแผดมันเผานี่ไง

เรื่องสมาธิไม่ต้องพูดกัน มันเป็นไปไม่ได้

พูดขนาดนี้นะ มันตกภวังค์ตลอดไง มันก็เป็นฝ่ายมาร เป็นฝ่ายกิเลสตลอดไป ไม่ต้องไปหวังผลอะไรทั้งสิ้น ทำใจให้สงบให้ใจเติมเต็มขึ้นมา ให้เป็น เอโก ธัมโม พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แล้วค่อยมาพูดกันเรื่องประพฤติปฏิบัติ เอวัง